5 วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วยวิถีธรรมชาติสำหรับสาวมนุษย์เงินเดือนคนเก่ง

รวม วิธีคลายเครียดจากการทำงานด้วยวิถีธรรมชาติ

ในสังคมปัจจุบันเราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า  “ผู้หญิง”  มีบทบาทสำคัญในงานต่างๆมากมาย  สังเกตได้จากการที่เราเริ่มเห็นจากภาพยนต์ที่เขียนบทบาทให้คุณผู้หญิงเป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่อง หรือเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเป็นผู้นำองค์กร หรือผู้นำประเทศ  หรือในภาพแห่งความเป็นจริงเองก็ตาม  ที่นับวันเราจะเริ่มเห็นบทบาทการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มี “ผู้หญิง”  เป็นผู้นำหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

ขอขอบคุณรูปภาพจากสมาชิกร่วมทริปดอยหลวงตาก 6-7 ก.ค. 62 กับเรา

Perfectionist เป็นคำที่เกาะติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของ “Working woman”   กลุ่มสาวๆที่เต็มไปด้วยพลังไฟแห่งการทำงานอันล้นเหลือ  สมองเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์อันล้นเหลือ  งานทุกงานเต็มไปด้วยรายละเอียดที่เรียกได้ว่า มีความละเมียดละไมในทุกอณูของชิ้นงาน   และต้องการพัฒนาตัวเองแบบไม่หยุดยั้ง

“ I am a strong woman
Because a strong woman
Raised me.”

-gorgeousnations.com-

แต่ทว่าภายใต้ความสำเร็จของยอดภูเขาน้ำแข็งที่เราเห็นและชื่นชมสาว ๆ Working Woman เหล่านี้  จะมีใครรู้บ้างว่า สาว ๆ เหล่านี้ต้องเจออะไรบ้าง?

ใต้ความสำเร็จของยอดภูเขาน้ำแข็งที่ Working woman ต้องเจอ มีอะไรบ้าง ?

จากบทความของ HealthandTrend.com ได้พูดถึงความกดดันใต้ยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่า Working woman ไว้อย่างน่าสนใจว่า

“ด้วยภาระทั้งในและนอกบ้านนี่เองทำให้ผู้หญิงต้องเจอกับความกดดันหลากหลายรูปแบบแทบตลอดเวลา และปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ค่อยสะสมมาเรื่อยๆ จะกลายเป็นการก่อความเครียดให้กับสาวๆ ได้ไม่รู้ตัว”  ซึ่งแยกออกมาเป็นข้อ ๆ ได้ ดังนี้

ภาพลิขสิทธิ์จาก shutterstock

ทำงานกันติดต่อกันหลายชั่วโมง

เหล่า working woman  เป็นบุคคลที่มีแรงผลักดันในการทำงานสูงปรี๊ด   และวิ่งเข้าหางานตลอดเวลา  ทำให้ต้องนั่งติดที่โต๊ะทำงานเกือบตลอดเวลา ใช้สายตากับแสงสีฟ้าของคอมพิวเตอร์เกือบตลอด 24 ชั่วโมง   กินข้าวไม่ตรงเวลา  ไปจนถึงพักผ่อนไม่เพียงพอ

บริหารจัดการงานทั้งที่ทำงานและที่บ้าน

ผู้หญิงอย่างเราๆ มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทั้งที่ทำงานและในบ้าน   หลายครั้งที่เราเหนื่อยจากการทำงานหนักหน่วงมาเต็มวัน  แต่เมื่อกลับมาที่บ้านวิมานบนดินของเราก็ยังคงต้องทำหน้าที่แม่บ้านผู้แสนอบอุ่นที่คอยดูแลเรื่องความเรียบร้อยภายในบ้าน และทำอาหารที่แสนอร่อยให้กับสมาชิกภายในบ้านอีกด้วย

มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและครอบครัว

หลายครั้งที่เหล่า Working Woman จะมีความรู้สึกกดดัน รู้สึกผิดหวัง เสียใจ รวมกับความสัมพันธ์ของคนรอบๆตัว อาจจะเนื่องด้วยทัศนคติหรือแนวความคิดและลักษณะนิสัยบางอย่างที่ไม่ตรงกัน

หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่พอดีกับความคาดหวังของตัวเอง

น้อยไปรู้สึกกดดัน มากไปก็เครียดหนัก

I am a Perfectionist

ทุกอย่างต้องเป๊ะ  บทความออนไลน์จาก www.health.com  ได้พูดถึงคำตอบที่พบบ่อยในการสัมภาษณ์งานเมื่อผู้สมัครงานถูกถามด้วยคำถามที่ว่า “ คุณคิดว่าส่วนที่อ่อนแอที่สุดของคุณอะไร?”  คำตอบที่ผู้สมัครงานส่วนใหญ่จะตอบคือ “ฉันเป็นผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ”  ซึ่งบทความออนไลน์ดังกล่าวยังพูดถึงงานวิจัยที่นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่นิยมความสมบูรณ์แบบส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมีความเครียดสูงและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย

จนร่างกายแสดงอาการอ่อนเพลีย  หงุดหงิดง่ายกว่าเดิม  ไม่มีสมาธิ  นอนไม่ค่อยหลับ  ร่างกายเริ่มอ่อนแอ  ไม่อยากตื่นไปทำงาน  ซื่งอาจทำให้ตกอยู่ในภาวะ Burnout จนนำไปสู่ภาวะเสี่ยงการเป็นโรคซึมเศร้า

5 วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วยวิถีธรรมชาติสำหรับสาวมนุษย์เงินเดือนคนเก่ง

1.วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วย “โยคะ” 

รูปภาพลิขสิทธิ์จาก shutterstock

ศาสตร์โยคะถือกำเนิดมากว่า 5000 ปีที่แล้วที่เมืองฤาษีเกษ ประเทศอินเดีย โดยโยคี  ท่าทางของโยคะเป็นการเลียนแบบท่าทางหรือรูปแบบของธรรชาติ เช่นต้นไม้  สัตว์ต่างๆ   เป็นการฝึกกาย  ลมหายใจและใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน  ซึ่งแต่ละท่าของการฝึกโยคะส่วนใหญ่เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้สอดคล้องกับการหายใจ นับได้ว่าเป็นวิธีคลายเครียดจากการทำงาน ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกสงบ  ผ่อนคลาย  มีสมาธิมากขึ้น  รับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย  ทำให้เราตระหนักรู้ถึงร่างกายของตัวเองมากขึ้น ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ที่จะยอมรับร่างกายของเราอย่างเป็นธรรมชาติ  โดยไม่ไปตัดสินมัน เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกเป็นสุขกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น ทำให้เรามีความมั่นใจเพิ่มขึ้น

2. วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วย “อาบป่า”  

เป็นอีก 1 วิธีคลายเครียดจากการทำงาน แบบไม่ต้องใช้แรงกายเยอะ แต่ได้แรงใจกลับมาเต็มเปี่ยม“อาบป่า”เป็นศาสตร์ที่ใช้ธรรมชาติในการบำบัดสุขกายและใจเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการเจ็บป่วย   เป็นศาสตร์ที่ถือกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อราวปี 1982  โดยเรียกว่า Shinrin yoku  และปัจจุบันศาสตร์นี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลกผ่านในชื่อของ  Forest bathing  หรือ  Forest Therapy กลายเป็น Sub culture ที่หลายๆ ประเทศให้การสนับสนุนให้ประชาชนเข้าไปอาบป่าเพื่อสุขภาพกายและจิตที่ดี

ขอขอบคุณรูปภาพจากคุณกระรอก สมาชิกที่ร่วมอาบป่ากับเราวันที่ 8 ก.ค. 62

Shinrin  คือ ป่า  ส่วนคำว่า yoku  นั้นหมายความถึงการอาบน้ำ หรือการชำระล้าง  ดังนั้น Shinrin yoku  จึงมีความหมายโดยรวมถึงการเข้าป่าเพื่อบำบัดรักษาสมดุลร่างกายและใจ ผ่านการซึมซับธรรมชาติให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6  ได้แก่ ตา  หู  จมูก ลิ้น กาย และใจ  เน้นการเข้าป่าแบบช้า ๆ ตั้งสติและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเพื่อติดต่อกับธรรมชาติโดยตรง และปัจจุบันได้มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ออกมารับรองว่า เมื่อเราไปอาบป่า  ร่างกายของเราจะได้รับสารเคมีจากธรรมชาติที่เรียกว่า phytoncide ซึ่งเป็นน้ำมันหอมระเหยจากต้นไม้ประเภทสน มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์กำจัดมะเร็ง หรือ NK Cells – Natural Killer Cells และยังมีผลช่วยลดความเครียด ความดันเลือด อาการซึมเศร้า และยังส่งเสริมสุขภาพจิต ความคิดสร้างสรรค์ เราจึงเหมาะอย่างยิ่งกับสาว ๆ สุดแกร่งที่มีชีวิตเร่งรีบ และมีความเครียดสูงจนเสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยที่มีผลกับร่างกายและจิตใจ

3. วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วย “ทานน้ำผักเพื่อสุขภาพเพื่อปรับสมดุลร่างกาย

ภาพลิขสิทธิ์จาก Shutterstock

เป็นวิธีคลายเครียดจากการทำงานที่ง่ายที่สุดสำหรับสาว ๆ ที่งานเยอะ แต่ก็อยากดูแลกายและใจให้แข็งแรง ช่วยคลายเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ  การเลือกทานน้ำผักผลไม้ตามหลักของ Food combination ซึ่งเป็นหลักการกินของ ดร. William Howard Hay ที่จับคู่กินอาหารหมวดที่เข้ากันได้ดีและไม่จับคู่กินหมวดอาหารที่ไม่เข้ากัน โดยให้ความสำคัญกับปฏิกิริยาทางเคมีที่อาหารมีต่อกัน เพื่อช่วยร่างกายเกิดความสมดุล  ย่อยอาหารได้ง่ายมากขึ้น ช่วยลดปัญหาสุขภาพ เช่น การนอนไม่หลับ ไม่มีแรง ท้องผูก ท้องอืด ทำให้มีกำลัง และ รู้สึกสดชื่น ในการทำกิจกรรมต่างๆ

4. วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วย “ชี่กง

ภาพลิขสิทธิ์จาก shutterstock

เป็นวิธีคลายเครียดจากการทำงาน อีก 1 วิธี ที่มาจากศาสตร์โบราณของทางจีนที่ถ่ายทอดกันมาแบบรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 3000 ปี  ตามหลักฐานที่ปรากฎในตำราปรัชญาอี้จิงและตำราแพทย์หวงตี้เน่ยจิง (ซึ่งถือว่าเป็นตำราแพทย์จีนเก่าแก่ที่สุดที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน)

“ชี่” คือ  พลังชีวิต
ซึ่งไหลเวียนหล่อเลี้ยงเซลล์ร่างกายไปตามเส้นประสาท  เส้นลมปราณ

“กง” คือ  วิธีการฝึก หรือ
การออกกำลังกายและความเชื่อมั่นในพลังภายในของตนเอง

ชี่กง  จึงหมายถึง
การฝึกพลังเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์จากภายใน

โดยอาจารย์หยาง  เผยเซิน อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านชี่กง ได้กล่าวว่า “ซี่กง”เป็นศาสตร์ป้องกันร่างกาย ก่อนโรคเกิด  โดยการปรับจิตใจให้เข้าสู่สมดุล  เป็นวิชาที่ว่าด้วยการฝึกจิตและลมหายใจ  ทางแพทย์แผนจีนเชื่อว่า ร่างกายของเรานอกจากมีร่างกายแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งเรียก  พลังภายใน  ซึ่งเรียกว่า  ” ชี่” ภาษาไทยแปลว่า  “พลังลมปราณของชีวิต

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ” ชี่ ” ของเราเป็นอย่างไร ? 

หาหมอจีนจะใช้มือ3นิ้วจับชีพจรเพื่อสัมผัสว่า  ร่างกายของเรามีชี่หรือไม่มีชี่
ชี่พอหรือไม่พอ
แข็งแรงหรือไม่แข็งแรง
ดังนั้นจะดูชี่ของเราให้ดูที่ชีพจร จับชีพจรจะมีเสียงเต้นดังป๊อกๆๆ

ชี่ของเราพอ คล้ายกับชีวิตของเรา  มีเงินพอใช้ แต่ถ้า ชี่ไม่พอ  จะรู้สึกอ่อนเพลียง่าย  ภูมิต้านทานต่ำ ระบบต่างๆในร่างกายจะทำงานไม่ดี  กระเพาะ ชี่ไม่พอระบบย่อยไม่ดี  ลำไส้  ชี่ไม่พอ ถ่ายไม่ออก  กระเพาะปัสสาวะ  ชี่ไม่พอ ฉี่ไม่ออก  ทางแพทย์แผนจีนเชื่อว่าทุกคนมีชี่ หากร่างกายของเรามีชี่ที่อ่อน  หรือไม่มีชี่ จะทำให้ร่างกายเริ่มมีปัญหาจนเกิดโรค

ปัจจุบัน ชี่กง ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากการที่ได้นำหลักการวิทยาศาสตร์มาอธิบายกลไกของชี่กง และได้มีการจัดใช้ชี่กงเป็นหนึ่งในการแพทย์พลังงาน

5. วิธีคลายเครียดจากการทำงาน ด้วย “วาดรูป /ทำงานศิลปะ

“ศิลปะเป็นหนทางไปสู่การหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยตัวเอง”

ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธุ์ขจี จิตรกร ศิลปิน
และนักศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญา

ภาพลิขสิทธิ์จาก shutterstock

ไม่รู้ว่าเคยสังเกตกันไหมว่าช่วงเวลาที่เราจดจ่ออยู่กับตัวเองได้ดีที่สุดคือช่วงเวลาที่เราได้เส้นต่อเส้น   ลากจุดต่อจุด  ถึงแม้ว่าภาพ  หรือผลงานที่ออกมาจะไม่สวยงามในสายตาของใคร ๆ แต่เรากลับรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด   นี่คือพลังของการทำงานศิลปะที่ช่วยให้เรามีสติ กลับมาอยู่กับที่ที่เราอยู่ในปัจจุบันขณะได้ดีเลยทีเดียว

เว็บไซต์จาก Suksomdul ได้พูดถึงแนวคิดของศิลปะบำบัดไว้ว่า

“ความน่าสนใจของศิลปะบำบัดอยู่ที่กระบวนการระหว่างการทำงานที่ไม่จำเป็นต้องสนใจว่า ผลงานที่ได้สุดท้ายจะสวยหรือไม่สวย แต่สิ่งสำคัญคือการได้รู้ว่ากำลังวาดรูปอะไร ทำอะไร คิดอะไร และมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้ามากกว่า เป็นการใช้กิจกรรมทางศิลปะเพื่อช่วยให้ร่างกายและอารมณ์ดีขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่าหัวใจของศิลปะบำบัดคือการปลดปล่อย ได้มีการพัฒนาทางอารมณ์ ทำให้ใจเย็น จะทำอะไรก็มีสมาธิมากขึ้น”

จึงไม่น่าแปลกใจว่าในทุกครั้งที่รู้สึกแกว่ง   หวั่นไหว  เมื่อเราเอื้อมมือมาหยิบพู่กัน จุ่มสี และทำการละเลงสีลงบนกระดาษ  เราจะพบความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในใจของตัวเองเรา  เราจะรู้สึกว่าเราสงบขึ้น  กล้าขึ้น  นอกกรอบขึ้น  ใจเย็นมากขึ้น  และมีความสุขมากขึ้น เตรียมพร้อมสู่การพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น

ในระหว่างที่โลกของสาวเก่งทั้งหลายกำลังเหวี่ยงไปอย่างบ้าคลั่ง  อย่าลืมแบ่งช่วงเวลาสักส่วนหนึ่งของชีวิตทำให้ช้าลงและหันกลับมาพัก “ใจ”ตัวเอง เพื่อเติมพลังให้พร้อมพัฒนาตัวเองให้ทะยานไปสู่ยอดเขาที่ตัวเองมุ่งหวังได้อย่างมีความสุข

เรื่องแนะนำ