ทริปนี้เป็นที่เดินป่า ที่เราแนะนำสำหรับคนที่เป็น ขาโหด และต้องเดินป่าทึบที่มีสิงสาราสัตว์เต็มไปหมด ทากมีแนะ สัตว์มีเยอะ ถึกได้ใจ เราขอแนะนำ … ข้อมูลอาจจะดูเก่า แต่ป่าไม่เคยเก่า ไปเดินได้เลย … เรียบเรียงจากบทความเดิมของ บุ้งกี๋ สัญจร จินตา และสมาชิกทริป..
สมาชิกทริป
เรียกน้ำย่อย…เดินกันเป็นขบวนหน่อยเดินโดยกับระเบิด….( พวกเรากำลังเดินผ่านดงกระทิง/และสัตว์ป่าต่างๆที่มาหากินบริเวณนี้)
แต่เริ่มเดิมที..ทริปไปห้วยแม่เสลียงนี้มีวิบากกรรม…..บุญมีแต่กรรมบังทำให้ล่มไปหลายครั้งหลายครา…แต่ในที่สุด..ฟ้าดินท่านก็เห็นใจ….ส่งผู้ต้องคำสาป(จากสวรรค์)จำนวนหนึ่งโหล มาร่วมกันผจญภัย..ผจญทาก…ผจญความลำบากด้วยกันเป็นเวลา 3 วันกะอีก 2 คืน (ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้ว )..อา..คราครั้งนี้ไม่ทราบว่าเป็นเคราะห์กรรมหรือเป็นวาสนากันแน่!!!!!!
พวกเราออกเดินทางโดยรถตู้ออกจาก สำนัก TKT ..ตอน 4 ทุ่ม …ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย…ประดุจคำอวยพรจากฟากฟ้า (ซึ้งมะ!)…
เป้าหมายของวันนี้คือเกสต์เฮ้าส์สุดหรูของพี่กบ..(ไกด์สุดเซ็กซี่..)
ป๋ากบ เทรคกิ้ง
…เกสต์เฮ้าส์ที่ว่านี้..บรรยากาศดีสุดๆ..เป็นบ้านไม้สีฟ้าอมเขียวยังไงชอบกล…อยู่ติดแม่น้ำเพชรบุรี..มีเรือให้พายเล่นด้วยนะ…ฟังพี่กบสรุปเส้นทางที่จะเดินและการเตรียมตัวผจญป่ากันว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง…เอาอะไรกันทาก…สภาพอากาศเป็นยังไง…จิปาถะ……ข้าพเจ้าขอสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่าอีตอนที่พี่กบแกกางแผนที่ทหารชี้ให้ดูเส้นทางที่จะเดิน..ข้าพเจ้าเป็นงงสุดๆ..ดูไม่รู้เรื่อง…รู้แต่ว่ามันไกลหลายกิโลแม้วอยู่……ดังนั้นตลอดเส้นทางเดินข้าพเจ้าจึงจับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยจะได้…รู้แต่ว่าเขาให้เดินไปทางไหนข้าพเจ้าก็ไปทางนั้น..มิกล้าออกนอกเส้นทางเป็นอันขาด……..
พอฟังจนง่วงได้ที่…พี่กบก็ไล่ให้ไปนอนเพราะต้องตื่นกันแต่เช้า.เพื่อไปให้ทันเวลาที่ทางอุทยานเปิดให้รถขึ้นคือ 8.30 น. (ที่อช. แก่งกระจานนี่ทันสมัย…ใช้ระบบวันเวย์..ขึ้นกะลงคนละเวลา..ใครไปไม่ทันรอกันเงก..) ดังนั้นพวกเราทั้งผองต้องออกจากบ้านพักอย่างช้า 6 โมงครึ่ง…
ฝั่งชายไม่รอช้ารีบนอนหลับกันทันใด…แต่ฝั่งหญิงอย่างเรา..โดยเฉพาะหญิงป้าทั้งสองรื้อสัมภาระกันอีกเกือบชั่วโมง…รื้อเข้ารื้อออกกันก่อกๆแก่กๆ…แต่จริงๆหนักไปทางรื้อออกซะหล่ะมากกว่า….เพราะงานนี้ต้องแบกสัมภาระเองทั้งหมด (ของส่วนตัว… เปลญวน….ฟลายชีตส์…ถุงนอน…เฮ้อ!!) …รื้อไปรื้อมาจนงง…ในที่สุดข้าพเจ้าก็ลืมสิ่งสำคัญ(ที่สุด)ในการเดินป่า..นั่นคือรองเท้า.!!!!!!!!..(อายจัง )….
เช้าวันต่อมา
หลังจากนอนหลับมั่ง…ไม่หลับมั่งไปตามประสา….พอได้เวลาประมาณตี 5 ..พวกเราก็ต้องตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรเพื่อเตรียมตัวไปลุยป่าห้วยแม่เสลียงกัน…..ระหว่างนี้ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่าฝ่ายชายหนุ่มทั้งหลายส่วนใหญ่จะอาบน้ำชำระร่างกาย (กะประมาณเป็นตัวเลขทางสถิติได้ราวๆ 80%)…ไม่ทราบว่าถือโชครางอะไรกัน……ส่วนฝ่ายหญิงสาวน่ะรึ..ฮี่..ฮี่..ไม่มีใครอาบน้ำสักคน -_-
ครั้นได้เวลาฤกษ์งามยามดี….คณะผจญภัยสุดขอบฟ้าก็ออกเดินทางไปอช.แก่งกระจานโดยรถกระบะ 4WD สีขาว สภาพกลางเก่ากลางใหม่……ที่พาพวกเรานั่งกินลมชมวิวกันหัวกระเจิงที่กระบะหลัง…โอ..รสชาดของชีวิต..อิ..อิ
คณะเราแวะพักกินข้าวเช้ากันที่ร้านข้าวแกงเล็กๆ ข้างๆ ที่ว่าการอำเภอแก่งกระจาน…(และห่อไว้เป็นเสบียงตอนเที่ยงของวันนี้ด้วย…เมนูเด็ดคือข้าวหมูอบกระเทียม..อืมม์)….ระหว่างที่จัดการกับข้าวเช้า ชาวคณะซึ่งส่วนใหญ่มากันคนละทิศละทาง..ไม่รู้จักกันมาก่อนก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักทักทาย..จดจำชื่อเสียงเรียงนาม…ใบหน้า..และรูปพรรณสัณฐานกัน…เผื่อใครหลงป่ากลับไม่ถูกจะได้แจ้งให้นาวิกฯตามหาได้โดยง่าย
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันทั้งหมู่แล้ว….พวกเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่อช. แก่งกระจานกันล่ะทีนี้….สมาชิกกระบะหลังก็เฮฮากันเรื่อยเปื่อย..เหมือนสมันน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้ชะตากรรม(อันรันทดและโหดร้าย)..ที่รออยู่เบื้องหน้า -_-
จุดถัดมาที่ทริปโอ้ล่ะเห่ของเราแวะก็คือตัวที่ทำการอช. เพื่อตีตั๋วเข้าชม…พอรถจอดเท่านั้นแหล่ะ..เหล่าสมาชิกก็พร้อมใจกันกรูลงจากรถ..พากันเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว…..(สงสัยว่าคงจะวอร์มอัพเตรียมลุยกันแน่ๆเลย) 26
หลังจากนั้นเจ้ารถกระบะน้อยสีขาวอมฝุ่นก็วิ่งปุเลงๆพาพวกเรามาถึงแคมป์บ้านกร่าง…เอาตอนหลัง8.30 น. เล็กน้อย….อา..เกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้นเสียแล้ว ….คือถ้าขึ้นตอน 8.30 น.ไม่ได้ จะต้องรอไปขึ้นตอน 11.00น. โน่น…(เพราะเป็นระบบวันเวย์ไง…)…หวาย…ขืนรอนานเซ็งแย่เลย..เดี๋ยวเครื่องดับ.
ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้าง…ทำให้พวกเราสามารถผ่านดินแดนต้องห้ามมาจนได้….โดยเรียบร้อยทุกประการ……ตานี้ล่ะความระทึกที่แท้จริงกำลังจะบังเกิด…..เส้นทางจากแคมป์บ้านกร่างไปจนถึงจุดออกสตาร์ตของคณะเรา (กม. 27)….เป็นเส้นทางต่างระดับ..เดี๋ยวยกขึ้น..เดี๋ยวยกลง…แล้วตลอดทางก็มีหลุมแค่ 2 หลุมเองคือหลุมเล็ก..กับหลุมใหญ่…เล่นเอาก้นกบของข้าพเจ้าชอกช้ำไปหมดเล้ยส์ (ข้าเจ้าเชื่อว่าเพื่อนหลายๆคนคงเป็นเหมือนกับข้าพเจ้า….แต่จนใจที่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้…แฮ่ๆ aer )…..
ห้วยแม่เสลียง อยู่ในเขต อช.แก่งกระจาน เพชรบุรี เริ่มเดินจาก กม27 เดินตามห้วยตัดป่า ป่าช่วงแรกเป็นป่าเบญจพรรณ.
ณ จุดนี้เองที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะทราบว่าไม่ได้นำรองเท้าเดินป่ามาด้วย…ดีน๊ะที่แม่นางเม็ดนุ่นผู้รอบคอบได้เตรียมรองเท้ามา 2 คู่..คู่นึงเป็นสตั๊ดดอย..อีกคู่คือรองเท้ารัดส้น…(ข้าพเจ้าในเวลานั้นมีแต่รองเท้าแตะสีชมพูหวานแหววติดเท้าอยู่คู่เดียว)….แม่นางเม็ดนุ่นจึงให้ข้าพเจ้ายืมสตั๊ดดอยไซด์ 39 ของเธอมาใส่…ข้าเจ้าต้องขอขอบคุณแม่นาง..น้องเม็ดนุ่นมา ณ ที่นี้ด้วย……ไม่ได้ท่านน้อง..ข้าพเจ้าแย่เลย….
ท่านเชื่อหรือไม่…นอกจากน้องเม็ดนุ่นคนสวยผู้อารีแล้ว….ไม่มีใครเลยในหมู่สมาชิกที่จะเห็นใจในความอับโชคของข้าพเจ้า…ทุกคนกลับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันประจำทริป…นำมาแซวข้าพเจ้า(ผู้น่าสงสาร)..อยู่ทุกวัน…..อืมม์..ไม่ลืมบ้างก็แล้วไป…
เส้นทางที่เดินในวันแรกไม่ได้หนักหนาอะไร..(แต่หนักใจฮ่ะ)…เพราะเป็นเส้นทางเดินลงเลาะเลียบลำห้วยเสียส่วนใหญ่…..ซึ่งพรานกบบอกว่าจะพาเราจะเดินตามรอยช้าง…เพราะเดินง่ายไม่รกไม่ชันนัก…ระหว่างทางถ้าโชคดี..ก็อาจจะได้พบเห็นสัตว์ป่ากันบ้าง (ข้าพเจ้าโชคร้ายตลอดสามวัน..ไม่เห็นตัวอะไรเลย..นอกจากนก…ทาก…ตัวเงินตัวทองตัวใหญ่มากๆ…ผีเสื้อแสนสวย…รังแตน…รังผึ้ง…รังนก…ปลา…ลูกอ๊อด…และแมลงอีกนานาชนิด……แต่เพื่อนร่วมคณะอีกหลายคนเห็นฝูงลิง..ฝูงค่างสีเทาด้วยหล่ะ..อิจฉาตาร้อนสุด )…..
ระหว่างทางก็พบรอยหมีที่ฉีกต้นไม้เพื่อที่จะเอาหวานจากผึ้งไปกิน
ทางสายนี้ที่พวกเราเดิน….จะต้องฝ่าด่านทากน้อยผู้หิวโหยทั้งฝูงเล็ก..ฝูงใหญ่ไปตลอดทาง…..เล่นเอาคุณบุ้งกี๋กับข้าพเจ้าสองป้าซึ่งกลัวตัวยึกยือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว……ขวัญผวา..ร้องกรี๊ดกร๊าดไปตลอดทาง…ดีที่ได้ท่านพี่ achai…ใช้ท่าไม้ตายฝ่ามือเด็ดทากพิชิตใจ..ช่วยเหลือไปได้หลายครั้ง….
ทางช่วงแรกๆจะเป็นป่าทึบ…เป็นเส้นทางดิบๆ..เถื่อนๆ…(แถมลื่นด้วย)…ระหว่างทางก็จะเห็นอุนจิช้างเป็นระยะ..ระยะ..ให้พอเพลิดเพลินเจริญใจ…..บางช่วงก็จะเจอกับต้นไม้แปลกๆ เช่น ดีปลีป่า , กีบแรด, ค้างคาวดำ และต้นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่รู้จักอีกหลายชนิด หรือบางทีก็เจอสัตว์เล็กๆที่น่ารัก เช่น เจ้าปาดน้อยนักพรางตัว
ลูกอ๊อดที่ใกล้โตเต็มวัย
แต่สัตว์ใหญ่ๆจำพวกเสือ..สิงห์..กระทิง..แรด..ไม่เจอะไม่เจอเลยสักกะตัว
แต่ตัวนี้เจอนะ
ต้นตะเคียน ไซส์ไม่เล็ก
แต่เหมือนฟ้าทดสอบใจ…เดินไปได้ไม่นานฝนก็ตก..อา..เสร็จกัน…ทางที่ลื่นอยู่แล้วก็ยิ่งดับเบิ้ลลื่นเข้าไปอีก….จึงมีผู้กล้าจำนวนไม่น้อยที่ลื่นถลา….เซไปเซมา….เห็นแล้วขำดี.. คราวนี้คุณบุ้งกี๋ได้แสดงท่าเหินหาวฯตั้งหลายครั้ง….แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่สามารถจับภาพมาให้พวกท่านชมได้…เพราะท่านย่าบุ้งกี๋มีท่าร่างที่รวดเร็วจนข้าพเจ้ากดชัดเตอร์ไม่ทันจริงๆ
เกือบบ่ายพวกเราจึงได้หม่ำข้าวเที่ยงกัน ….บรรยากาศก็รื่นเริงบันเทิงใจเหมือนที่คุณจินตาโพสต์+บรรยายไว้ที่ คห. 30 แหล่ะ ตอนนี้แหล่ะที่ท่านพี่ achai เริ่มแสดงความเป็นฮีโร่ออกมาด้วยการประกาศว่าพี่ท่านพกหมูหวานติดตัวมาเป็นเสบียงกรังด้วย..จำนวน 1 กก. แต่ท่านพี่ไม่ยักบอกตะแรก…เล่นมาบอกเอาตอนที่อิ่มแล้วนี่สิ…มันน่าแค้นใจ….ไม่เป็นไร..มื้อหน้ายังมี..
ก่อนจะออกเดินทางไกลต่อไปข้าพเจ้ามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนรองเท้าอีกครั้ง..เพราะฝ่าเท้าอันบอบบางของข้าพเจ้าไม่อาจทนทานต่อความแข็งกระด้างของสตั๊ดดอยไซด์ 39..ได้….แม่นางเม็ดนุ่น(นางฟ้าของข้าพเจ้า)จึงอุทิศรองเท้ารัดส้นของเธอให้ข้าพเจ้าใส่…ส่วนเธอก็สวมเจ้าสตั๊ดดอยแทน….(อ้อ..ต้องขอบคุณ..คุณจินตาผู้มีวิชาตัวเบาอันสูงส่งด้วยที่เอื้อเฟื้อกอเอี๊ยะแปะตาตุ่มแก่ข้าพเจ้า)
หลังอาหาร..พอข้าวเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งในกระเพาะเรียบร้อยแล้ว..พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อไป….ใครจะเดินยังไงไม่รู้..แต่ข้าพเจ้าเจียมตัวเจียมใจสุดๆ ก้มหน้าดูดินตลอด..หากเผลอละสายตาจากพื้นดินครั้งใด..จะต้องเกิดเรื่องทุกที..ไม่สะดุดรากไม้..ก็ลื่นแพร่ด..ดังนั้นหากใครถามข้าพเจ้าว่าต้นไม้สูงมั๊ย..ป่าเป็นยังไง..วิวสวยหรือเปล่า..ข้าพเจ้าจึงตอบไม่ได้….สำหรับท่านที่อยากทราบสภาพเส้นทาง..โปรดอดใจรอชมภาพจากช่างภาพมือฉมังประจำทริปของเราที่มีตั้งหลายคน..(เอ..แต่ไม่รู้ว่าจะได้ถ่ายกันมาบ้างหรือเปล่า….ฝนก็ตก..ทางก็ลื่นเหลือแสนออกขนาดนั้น)….
บ่ายวันแรกที่ห้วยแม่เสลียงก่อนฝนลงหนัก
ยิ่งเดินฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ…สร้างความลำเค็ญให้กับคณะเราเข้าไปอีก….ชาวคณะเกือบทุกคนต่างงัดเสื้อกันฝนขึ้นมาใส่..ยกเว้นคุณไก่..พ่อครัวเอกของทริปเราที่สู้ฝน…ทนเหลือหลาย..ไม่ยอมใส่เสื้อกันฝนเหมือนคนอื่นเค้า……ครั้นเราสอบถามก็ได้ความว่าคุณไก่ก็เตรียมมาแต่ไม่รู้เก็บไว้ตรงไหน…ขี้เกียจแงะขึ้นมาเลยยอมทนตากฝนเอา….(ข้าพเจ้าให้ยืม..เขาก็ปฏิเสธ…ไม่รู้ทำไม )…..แปลกคน…
ฝนตกเราก็เดินกันได้
ช่วงนี้ส่วนใหญ่เราจะเดินลัดเลาะลำห้วยกันไป……ก็มีลื่นกันคนละนิดคนละหน่อย..แต่ไม่มีใครเลยที่หกล้มน้ำกระจายเหมือนน้องเม็ดนุ่น….โอ้โห….เสียงตกน้ำของน้องเม็ดนุ่นที่อยู่กลางขบวนได้ยินมาถึงคุณบุ้งกี๋ คุณachai และข้าพเจ้าที่อยู่ท้ายขบวนเลยทีเดียว…
ที่นอน – ในทริปนี้ที่ราบหายาก นอนเปลสะดวกสุด
จะเป็นเพราะพวกเราแรงดี..หรือยังไงก็ไม่รู้…จึงมาถึงที่พักแรมในคืนแรกเร็วกว่ากำหนด(ประมาณสามโมงกว่าๆก็ถึงแร้วส์)!!!!! surprise …ท่านเชื่อหรือไม่…แต่ข้าพเจ้า(ซึ่งเป็นคนขี้ระแวง)..ไม่เชื่อ…คิดว่าน่าจะเป็นกลอุบายของพี่กบที่หลอกให้พวกเรามีแรงเดินกันต่อไป..เพราะแต่ละคนกะปลกกะเปลี้ยละเ*่ยเพลียแรงกันเหลือเกิน (ยกเว้นคุณจินตาที่ยังคงนำโด่งอยู่หน้าขบวน…ชนิดไม่เห็นฝุ่น) ซึ่งแผนอันล้ำลึกนี้ก็ได้ผล..พวกเราต่างงัดก๊อก3,4,5 มาใช้กันเต็มที่ (มีแต่ข้าพเจ้าคนเดียวที่ต้องใช้ถึงก๊อกที่ 9 ..เหลืออีกก๊อกเดียวก็จะหมดแล้วดีที่ถึงซะก่อน!!)….ในที่สุดการเดินทางอันโหดร้ายของวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลง ณ ริมห้วยแห่งหนึ่ง….ตอนประมาณเกือบ ๆ 5 โมงเย็น (อย่าถามว่าเป็นห้วยอะไร…ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆ……เหนื่อยจนหูอื้อตาลาย..น้ำลายฟูมปากออกขนาดนั้น..ใครพูดอะไรก็ฟังไม่เข้าใจหรอก—ถ้าใครรู้ช่วยเล่าสู่กันฟังด้วยนะเจ้าคะ)
มื้อค่ำวันแรกกลางสายฝน สังเกตุเครื่องทรงกุ๊กเทพมือทอง (พี่กบ) นะครับ
แค้มป์กลางไพร ง่ายๆ ดิบๆ
หลังจากตั้งขบวนกันเป็นที่เรียบร้อย….4 สหายกังหนำอย่างพวกเราก็ออกเดินดุ่มๆ กันต่อไป…..สภาพเส้นทางก็จะเป็นป่าสลับกับลำห้วย…คือเดินแบบเปียก ๆ แห้ง ๆ ตลอดทาง…เดี๋ยวก็ข้ามห้วยเข้าป่า…เดี๋ยวก็ออกจากป่ามาเดินเลาะลำห้วย…เป็นหยั่งงี้ไปตลอดเส้นทาง…..(ดูภาพประกอบได้ที่คห. 63และ 64—โดยคุณจินตา)
ด้วยความที่กลัวว่าจะถูกทิ้ง……ข้าพเจ้าก็มีความจำเป็นอยู่เองที่จะต้องสปีดอัพเข้าไว้…..จะได้ไม่ตกขบวน…..เพราะก๊วนนี้มีแต่หนุ่มๆกำยำล่ำสัน….แรงดีไม่มีตกกันทั้งนั้นเลย……..ตอนนี้แหล่ะที่ข้าพเจ้าเริ่มจะสำนึกได้ว่าไม่ควรเล้ยที่จะมาร่วมก๊วนกับเค้า…..แต่เมื่อสำนึกได้ก็สายเสียแล้ว…..ครั้นจะนั่งรอให้ก๊วนพี่กบมาเก็บกลางทางก็กลัวว่าคุณบุ้งกี๋จะเยาะเย้ยเอาได้…..เพื่อศักดิ์ศรีข้าพเจ้าจึงต้องกัดฟันเดินกันต่อไป……..เชื่อไหมว่าหนุ่มๆ แก๊งค์นี้เดินกันเร็วมาก…ขนาดว่าเราหยุดปัดมดแป๊บเดียว(ไม่ถึง 3 วิ.)…พี่ท่านเลี้ยวโค้งลับดงไม้ไปหมดแล้ว เล่นเอาเราลากขาตามแทบไม่ทัน……ไม่รู้จะรีบไปไหน….เอ…หรือเขาจะกลัวเรา?…อือ..น่าคิด..น่าคิด….อ้อ..แล้วที่เดินๆ กันมานี่ไม่ค่อยจะได้หยุดพักกันหรอกน๊ะ…..ท่านพี่ทั้งหลายก้มหน้าก้มตาเดินกันอย่างเดียว……ความหวังของข้าพเจ้าที่จะได้หยุดพักนั่งเอ้เต้คอยก๊วนหลัง…ก็เป็นอันสลายไป….กับสายน้ำ..ริมห้วย…..19
แต่..มารร้ายอย่างข้าพเจ้าก็ย่อมมีวิธีการกลอุบายอันลึกล้ำ…..หากเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเหนื่อยสุดๆ…ข้าพเจ้าก็จะทำเป็น’ติสขึ้น…หยุดถ่ายรูป…..จริงๆ แล้วไม่ได้อยากถ่ายหรอก..รูปน่ะ….แต่ต้องการพักเหนื่อยตังหาก….ซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของข้าพเจ้าก็คือคุณไก่..เจ้าเก่านั่นเอง…ที่ต้องหยุดรอ…แล้วแถมยังต้องเป็นตากล้องให้กับข้าพเจ้าอีกด้วย… 15 love (ขอขอบคุณพี่ท่านมา ณ ที่นี้ด้วยsaythx ….ที่เต็มใจให้ข้าพเจ้าหลอก..แฮ่…แฮ่)
ในที่สุด..เราก็มาถึงจุดที่พักกินอาหารกลางวันจนได้ ท่ามกลางความโล่งใจของข้าพเจ้าอย่างที่สุด…..ลมสว้านแทบจับ.. blur ……มาถึงข้าพเจ้าก็ปักหลักนั่งพักเอาฤกษ์เอาชัยก่อน….สักพักก็เริ่มซน….ออกไปตระเวนเก็บภาพ…..พอดีคุณไก่ชักชวนให้ข้ามห้วยไปถ่ายรูปที่หินก้อนหนึ่งที่มีต้นไม้ต้นเล็กๆ ขึ้นคลุมเขียวอื๋อ….ดูสวยงามน่าชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก….อารามรีบ..ข้าพเจ้าก้าวพลาด..หล่นน้ำโครมใหญ่…ต่อหน้าหนุ่มๆ ฮือ…ทั้งเจ็บ..ทั้งอาย…ฮือ..แง….(สงกะสัยว่าจะเป็นแผนปราบมารของคุณไก่แน่ๆ เลย…ทางดีๆ..ไม่พาเดิน…กลับพาไปที่ลำบาก ๆ ฮึ)
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็นั่งเอกเขนกอยู่ริมฝั่งน้ำรอก๊วนหลังด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องในตอนแรกๆ……พอผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็เริ่มกระสับกระส่ายเพราะหิวข้าว….ก็เสบียง(บางส่วน)..อยู่กับก๊วนหลังนี่นา…..ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็เริ่มบ่นแล้วว่าทำไมก๊วนหลังถึงได้ชักช้าอย่างนี้นะ…หรือจะมีคนขาแพลง..(นี่..คิดร้ายซะเลย 16 …ด้วยความหิวน่ะ) ฯลฯ..คุณจินตานั่งฟังข้าพเจ้าวิจารณ์อยู่พักใหญ่…..คงหนวกหูเต็มทีเลยบอกเรียบๆว่า..เมื่อวานพี่วีระกับเขา..ก็นั่งรอพวกเรา(ก๊วนหลัง)..นานแบบนี้แหล่ะ…แถมเมื่อวานฝนก็ตก..หนาวก็หนาว..ทากก็เยอะ..ชนิดที่นั่งรอไปก็ต้องเด็ดทากไป..ข้าพเจ้าเลยเงียบไป2-3 อึดใจ….แต่แล้วก็เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานใหม่อีก….คุณจินตาเลยเป็นฝ่ายเงียบไปแทน…(คงจะนึกปลงสังเวชอยู่ในใจแหง๋ๆ)….
พวกเรารอจนเกือบหนึ่งชั่วโมง…พี่วีระเห็นว่าผิดเวลามากแล้วจึงเดินไปดูต้นทาง….ถึง 2 รอบ…ในที่สุดก็มีเสียงจ๊อกๆแจ๊กๆ ของก๊วนหลังดังมาจากอีกฟากป่าของลำห้วย…อา..ในที่สุดก็มาถึงกันซะที…..เราจะได้กินข้าวเที่ยงกันแล้ว
คุณไก่ คุณมือใหม่ฯ พี่วีระ ก่อนถึงจุดหยุดพักมื้อเที่ยงวันที่สองครับ
มีอยู่ช่วงนึงที่พี่วีระไม่แน่ใจในเส้นทางที่จะเดินต่อไป…จึงให้ข้าพเจ้านั่งรออยู่ริมห้วยกับคุณจินตา….ส่วนตัวพี่เขาขอบุกไปสำรวจเส้นทางแต่เพียงผู้เดียว….ได้โอกาสหล่ะ aer ..เอ๊ย..ไม่ใช่.. -_- คุณจินตาคงจะกลัวข้าพเจ้าหรืออย่างไรไม่ทราบ…พอพี่วีระเดินลับตาไป คุณจินตาก็ค่อยๆย่องหนี..เอ๊ยไม่ใช่..(เขียนผิดบ่อยจัง)….ก็ปีนขึ้นไปอีกฝั่งของลำห้วยเพื่อคอยสัญญาณจากพี่วีระ……ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่งดังขึ้น..คล้ายๆ กับเสียงกิ่งไม้หัก……ซึ่งพี่วีระมาบอกภายหลังว่าน่าจะเป็นเสียงกระทิง….ที่ตกใจเพราะได้ยินเสียงของพวกเราเลยวิ่งเตลิดไป (ยังมีรอยใหม่ๆ อยู่เลย)…..!!!!!!!
พวกเรา 3 ชีวิต..ก็ตะลุยดงหนามอันรกเรื้อ (อันนี้ต้องขอบคุณหนุ่มๆ ทั้ง 2 คนด้วยที่ช่วยกันแหวกทางให้ข้าพเจ้าเดินตามอย่างปลอดภัย..ฮิ…ฮิ)….ผ่านด่านสัตว์ต่าง ๆ สุดท้ายก็มาเจอแคมป์ของพวกที่มาหาน้ำผึ้งป่า……ซึ่งแคมป์นี้จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับต้นยางผึ้ง (เอ จะใช่รึเปล่าหว่า…วันนั้นเข้าพเจ้าดินเหนื่อยจนหูอื้อ..อาจจะฟังผิดไปก็ได้…ใครรู้ช่วยบอกด้วยนะเจ้าคะ) ซึ่งต้นที่ว่านี้เป็นต้นไม้ที่ผึ้งชอบมาทำรัง บางต้นมีเป็นสิบๆรังเลย (อันนี้เขาเล่ามา…ข้าพเจ้าก็เล่าต่อให้ท่านฟัง)
แต่ไม่ใช่ว่าจะขึ้นไปถึงรังผึ้งได้ง่ายๆ นะ..เพราะต้นยางผึ้งอะไรเนี่ยะสูงปรี๊ดเลย….คะเนด้วยสายตาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 เมตร ดังนั้นคนที่มาหานำผึ้งป่าจึงต้องใช้วิธีตอกทอยขึ้นไป.
เคยอ่านแต่ในเพชรพระอุมา ว่าแงซายตอกทอย คราวนี้ก็เลยได้เห็นครับ…
ทอยถูกตอกเอาไว้ตีผึ้งเอาน้ำหวาน
รอยเท้าเสือดาว+อึเสือดาว(ดำ)
มีทากนะ อันนี้เข้าไปในเล็บหัวแม่เท้าเลย
เอาออกๆๆ
การฝ่าดงทึบๆ ที่มองไปก็ไม่เห็นจะมีทาง เป็นธรรมดาของเส้นทางนี้
ป่าถล่ม รถติดกลางป่าครับ ภาพนี้ถ่ายไม่กี่นาที ก่อนเกิดเหตุการณ์ชุลมุนวิ่งหนีแตนกันขึ้น ใครวิ่งใกล้แค่ไหน ก็มาบอกเล่ากันเองนะครับ 12 จำไม่ได้แต่ได้ยินใครไม่ทราบตะโกนว่า “เฮ้ย แตน” หรืออะไรประมาณเนี่ย แล้วข้างหลังก็หายตัวกันไปเกือบหมดอย่างว่องไว เหลือ ผม พี่วีระ กะคุณไก่ ยืนเสนอหน้ากันอยู่หน้ารังแตน 08 08 แต่โชคดีที่ว่า แตนแถวป่าแก่งฯไม่พิศมัยหนุ่มบ้านนอกตัวขาวน้อยอย่างเรา ก็รอดกันมา-จินตา
มันเป็นสัจธรรมของโลกที่ว่าพอมีขาขึ้น..ก็มีขาลง….ตอนขึ้นชันยังไง..ขาลงก็ดิ่งอย่างงั้น……งานนี้เปลืองผ้าเบรคพอสมควร (ดีที่ใส่รัดเข่ากันไว้แล้ว…)……แต่แปลกน๊ะ…ตอนขาขึ้นมีล้มลุกคลุกคลานจับกบ..(แฮ่ๆ)…..แต่ตอนขาลงทั้งๆ ที่ทางก็แสนจะชัน….แต่ไม่ยักจะมีใครหกล้มก้นจ้ำเบ้ากันเลย….(น่าคิด 01 ?…หรือแอบไปล้มมาแล้วไม่บอกใครรึเปล่าหว่า17 )…
มุดกันเป็นปกติมากๆ
คณะเรานั่งพักหม่ำข้าวกลางวันกันที่แคมป์เก่าของพวกที่มาหาของป่า…ซึ่งอยู่ริมห้วยที่มีแค่น้ำซึมๆ ขังแอ่งอยู่เพียงเล็กน้อย……ข้าพเจ้าจำได้แม่นเลยว่ามื้อนั้นมีต้มมาม่า….ปลากระป๋อง….กับผัดเครื่องแกงกับถั่วฝักยาว….แต่ไม่มีหมูหวานเพราะหมดไปตั้งแต่มื้อกลางวันเมื่อวานแล้ว19 (ชมภาพเหล่าชาวคณะจกข้าวได้ที่คห. 102)
จากนี้แหล่ะ…พวกเราจะต้องเดินไต่ระดับความชันแบบเต็มๆ …คุณachai…คงกลัวข้าพเจ้าจะเดินไม่ไหว…เลยอาสาแบกกระเป๋ากล้องของข้าพเจ้าให้….จึงเป็นการทุ่นแรงข้าพเจ้า…แต่ไปกินแรงคุณachai แทน…(ขอบคุณอีกครั้งนะคะ….ที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว…เอ๊ยไม่ใช่..ที่เอื้อเฟื้อต่อข้าพเจ้า)
ขนาดว่าข้าพเจ้าผ่อนกระเป๋ากล้องให้ไปอยู่ในเป้คุณachaiได้แล้วน๊ะ…ยังเอาตัวแทบไม่รอด…เดินหอบจนตัวโยน……เมื่อหันไปมองคู่ปรับตัวฉกาจ (คุณบุ้งกี๋) ก็ออกอาการเหมือนกัน พี่ฑูรย์ประเมินแล้ว….คงจะเห็นว่าขืนปล่อยให้พวกเราสองป้าเดินลากขากันแบบนี้….สงสัยกว่าจะข้ามสันเขาได้คงบ่ายคล้อย พี่เขาจึงแนะให้ใช้ท่าไม้เท้าประสานใจ…..โดยแบ่งเป็นสองคู่…คู่แรกคือคุณสัญจรกับคุณบุ้งกี๋ โดยให้คุณสัญจรจับไม้เท้าเดินนำหน้าคุณบุ้งกี๋…เพื่อคอยฉุด..ลาก..ดึง..คุณบุ้งกี๋ที่จับไม้เท้าอยู่ข้างหลัง…….ส่วนอีกคู่นึงพี่ฑูรย์แสดงเองโดยจับคู่กับข้าพเจ้า….โอยพี่แกเป็นจนท.ป่าไม้..เรี่ยวแรงดี….เลยเดินลิ่วๆ ..จนข้าพเจ้าแทบจะต้องวิ่งตาม…เล่นเอา….ลมเกือบจับ
เมื่อถึงยอดเขา…พวกเราก็นั่งชุมนุมกัน..พักผ่อนตามอัธยาศัย…รอให้หายเมื่อยล้าเพื่อจะทดสอบประสิทธิภาพของระบบเบรคในขาลงต่อไป
พอดิ่งจนสุดทางก็เข้าสู่แนวระนาบ..ลาดเอียงแต่พองาม…เลยได้เดินชมนกชมไม้…กันหนุงหนิง…ได้บรรยากาศไปอีกแบบ…..ช่วงนี้เราเดินเลียบห้วยเล็กๆ ที่เป็นต้นแม่น้ำปราณ…(พี่กบบอกอย่างนั้น)…….ระหว่างนี้ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นเล็กน้อย..คือคุณอาทิตย์เกิดเจ็บขา….ทำท่าว่าจะเดี้ยงอยู่กลางป่า…โชคดีที่ได้โอสถทิพย์จากคุณachai…ภายในไม่ถึง 5 นาที..คุณอาทิตย์เดินได้ปร๋อ……จนเกือบจะแซงข้าพเจ้าอีกแน่ะ…..
มื้อเที่ยงกลางห้วยในวันที่สาม เริ่มหมดสภาพแล้ว
สักพักป๋ากบก็พาเราเดินตัดป่าเพื่อหาทางออกมาสู่บ้านกร่าง……โดยทางช่วงนี้ไม่วิบากเท่าไรนัก….สมาชิกคณะเราก็เลยเดินเอ้อระเหยลอยชายกันตามสบาย…จนพี่กบต้องเร่งให้สปีดกันหน่อย…….ไม่นานนัก (แค่ประมาณ 2 สุนัขยิ้ม—เป็นมาตรวัดระยะทางของการเดินป่า..คล้ายคลึงกับกิโลแม้วนั่นแหล่ะ) ก็ถึงถนนสีฝุ่นที่ทอดยาวนำเราไปสู่บ้านกร่าง…..
ระหว่างที่คณะเราเดินไปตามถนน ก็ได้พบเจอกับนักนิยมไพรท่านอื่นที่กำลังชื่นชมธรรมชาติอยู่แถวๆ นั้น…..ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่านักนิยมไพรบางท่านสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเหลือบเห็นพวกเราที่หน้าตามอมแมม แบกเป้พะรุงพะรังเดินกระโผลกกระเผลกกันมาตามถนน…….ก็น่าอยู่หรอกที่ใครๆ เขาจะตกใจ…แต่ละคนดูได้ซะที่ไหน…ท่าทางยังกับโจรป่าพนาไพรออกปานนั้น…..
เดินมาได้สักพัก…ราชรถสีขาวอมฝุ่นคันเดิมก็มารับพวกเรากลับ…ระหว่างทางก็แวะที่ด่านบ้านกร่าง.. เพื่อทำพิธีผ่านแดน …..ส่งพี่ฑูรย์…และรับคุณไก่กับคุณจินตา…ที่ใช้ทุ่มเทใช้วิชาอินทรีย์ทะยานฟ้า อันเป็นสุดยอดวิชาตัวเบาเดินลิ่วๆ มานั่งรอพวกเราอยู่ที่ด่านหลายชั่วยามแล้ว
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปเกสต์เฮ้าส์สุดหรูริมแม่น้ำเพชรของพี่กบ…เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวกลับกทม. กันต่อไป…งานนี้ข้าพเจ้าได้ของแถม….โดยข้าพเจ้าได้ไปพายเรือชมบรรยากาศยามค่ำกับพี่ฉุน..สองต่อสองด้วยหล่ะ…แน่นอนว่าพี่ฉุนเป็นคนพาย…..ส่วนข้าพเจ้าเป็นโจรี(นางโจร)นั่งชมวิวสบายใจเฉิบอยู่ข้างหน้า (ขอบคุณค่ะพี่ฉุน)
ก่อนกลับ…..ชาวคณะหลายคนก็ช่วยกันอุดหนุนร้านพี่กบ…ที่ตั้งอยู่เชิงสะพานใกล้ๆ กับเกสต์เฮ้าส์นั่นแหล่ะ…..เป็นร้านขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์เดินป่าที่ราคาไม่แพง…แต่คุณภาพคับแก้วเลยทีเดียว… ถ้าผ่านไปอย่าลืมแวะเป็นเด็ดขาด หากข้าพเจ้าผ่านไปทางนั้นในคราวหน้า…ข้าพเจ้ากะว่าจะสอยกางเกงเดินป่ามาอีกสักตัว…เพราะตัวที่ซื้อไปใส่สบายดีจริงๆ…..(พี่กบขา…..อย่าลืมค่าโฆษณาที่ตกลงกันไว้น๊ะ24 13 13 aer )
จากนั้นคณะเราก็แวะหม่ำมื้อค่ำกันตามอัธยาศัยที่ตลาดโต้รุ่งแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี………แล้วพวกเราก็เดินทางกลับกทม. โดยสวัสดิภาพ โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแต่เจ็บเล็ก..เจ็บน้อย..กันไปตามเรื่อง……มาห้วยแม่เสลียงในครั้งนี้นอกจากพวกเราจะได้ความสนุกสนานมันส์..ฮา..แล้ว…ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและยังคงงอกงามต่อไป..นั่นคือมิตรภาพระหว่างเราชาวคณะที่แต่แรกแทบจะไม่รู้จักกันเลย…..แต่ตอนนี้กลับสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่ง
ขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกท่าน ที่ได้ช่วยกันแต่งแต้มสีสันทำให้ทริปนี้เป็นอีกทริปนึงที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าประทับใจและน่าจดจำไว้ตราบนานเท่านาน
และที่ขาดไม่ได้ Special Thanks สำหรับ TKT ด้วยที่ได้สร้างสรรค์ทริปการผจญภัยที่สนุกสุดเหวี่ยงทริปนี้ขึ้นมา..